วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561


บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 10
วันจันทร์ ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2561
เวลา 08.30 - 11.30 น.

Knowledge (ความรู้)
นำเสนอคำคมทางวิชาการ





เนื้อหาที่เรียน เรื่อง เทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีสำหรับการเป็นผู้บริหาร
ความหมายของบุคลิกภาพ
        ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่รวมอยู่ในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งและเป็นผลทำให้บุคคลนั้น มีความแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ บุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 สภาพ ด้วยกันคือ
        บุคลิกภาพภายนอก หมายถึง สิ่งที่สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้โดยการฝึกเลียนแบบ และสามารถวัดผลได้ทันทีบุคลิกภาพภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ บุคลิกภาพทางกายและวาจา
        บุคลิกภาพภายใน หมายถึง บุคลิกภาพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นส่วนที่สัมผัสได้ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการสัมผัส

ประเภทของบุคลิกภาพ              
        บุคลิกภาพภายนอก  คือ  สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของแต่ละคนสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แบ่งได้เป็น 4 หมวดคือ
        1.  รูปร่างหน้าตา
        2.  การแต่งกาย
        3.  กิริยาท่าทาง
        4.  การพูด
        บุคลิกภาพภายใน คือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แก้ไขได้ยาก เช่น
        1. ความเชื่อมั่นในตนเอง                2. ความกระตือรือร้น
        3. ความรอบรู้                            4. ความคิดริเริ่ม
        5. ความจริงใจ                           6. ไหวพริบปฏิภาณ
        7. ความรับผิดชอบ                      8. ความจำ
        9. อารมณ์ขัน

การจำแนกบุคลิกภาพ 4 แบบ (Harris 1973)



การยอมรับตนเอง หน้าต่างของ (Johari’s windor ,1955)





        ในแต่ละครั้งที่เราต้องพบเจอผู้คนในองค์กรหรือนอกองค์กร การสนทนา การแสดงความคิดเห็น หรือการพูดให้ความรู้ การนำเสนองานต่างๆ นั้น ควรประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เนื้อหาสาระของคำพูด 7% น้ำเสียง 38% กิริยาท่าทาง (บุคลิกภาพ) 55%

สาเหตุที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพคือ ความท้อถอย
        บุคลิกภาพที่ไม่สร้างสรรค์และอยู่ภายในตัวตนแล้วทำให้ความเป็นคนๆ นั้นไม่สมบูรณ์ ได้แก่ความท้อถอยแม้ว่าเป็นประโยคสั้นๆ แต่ถ้าอาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว อาการนี้จะเข้ามาทำลายความสมดุลในตัวเรา เข้ามาแทรกในความรู้สึกนึกคิดทำให้พลังและศักยภาพของเราลดน้อยลงกว่าครึ่ง ในเรื่องความท้อถอยมักเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลในช่วงอายุอื่นจะไม่มีความท้อ บางท่านอาจเกิดอาการท้อเป็นช่วงๆ บางท่านโชคดีไม่รู้จักความท้อ 
ความท้อถอยสามารถสังเกตได้จากอาการ 3 ลักษณะ คือ
        1. ลักษณะของความท้อถอยทางด้านอารมณ์
        2. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น
        3. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากการไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน
สาเหตุของความท้อถอย 
·     ด้านบุคลิกภาพ 
·     ด้านอายุ
·     ด้านสถานภาพการสมรส
·     ด้านการปฏิบัติงานในความรับผิดชอบ
แนวทางและวิธีการในการแก้ไขอาการท้อถอย  
        1. ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแก้ไขที่ตัวเราเองเท่านั้น 
        2. อย่าเป็นคนตั้งความหวัง ความปรารถนาที่สูงสุดเอื้อม 
        3. สร้างเจคติเรื่องงานใหม่ให้ท่านคิดว่า งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุขทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน
        4. มองหาจุดมุ่งหมายในชีวิตใหม่ 
ครูกับการพัฒนาตน
        1. การพัฒนาตนเป็นการที่บุคคลพยายามหาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ตนเองก้าวไปสู่การเป็นผู้มีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ ในขอบเขตที่มีความพอเหมาะพอดีกับความสามารถของผู้นั้น
        2. ครูควรพัฒนาตนเองใน 2 ลักษณะคือ
            2.1 การพัฒนาตนเองในด้านวิชาชีพ เพื่อการประกอบวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ
            2.2 การพัฒนาตนด้านการเป็นสมาชิกของสังคม เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

การพัฒนาตนเองควรประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
        1. พยายามค้นพบตนเอง ทำความรู้จักตนเอง โดยหมั่นตรวจตราพิจารณาตนเองถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนการกระทำของตนเอง นอกจากนี้ควรสนใจรับฟังข้อคิดเห็น หรือคำวิจารณ์ของบุคคลอื่นที่มีต่อตัวเราบ้าง ต่อจากนั้นให้หันกลับมาพิจารณาตนเองในแง่มุมเหล่านี้
            1.1 ตัวของเราที่เป็นจริงเป็นอย่างไร
            1.2 ตัวของเราที่รับรู้เป็นอย่างไร
            1.3 ตัวของเราที่เราอยากจะเป็น เป็นอย่างไร
        2.  เมื่อได้พิจารณาตนเองแล้ว รู้จักตนเองแล้ว เรายอมรับได้ไหมว่า สิ่งนั้นคือตัวเรา การยอมรับตนเองนั้น ควรจะยอมรับทั้งในส่วนที่เป็นจุดอ่อน และจุดเด่นไปด้วยกัน มิใช้จะยอมรับแต่จุดเด่น แล้วไม่สนใจจุดอ่อนโดยไม่ยอมรับจุดอ่อน
        3.  ท้ายที่สุด คือ การหาทางพัฒนาจุดอ่อนหรือส่วนที่เราไม่พอใจที่อยู่ในตัวเรา (bed me) ให้ดีขึ้น (good me)

หลักและวิธีเสริมสร้างบุคลิกภาพ
·     การยืน เดิน นั่งเป็นส่วนสำคัญที่บอกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลอิริยาบถคือการเดิน ยืน นั่ง เปิด-ปิดประตู ขึ้นลงรถ อย่างถูกต้องสวยงาม
·     การรู้จักทำตัวให้เข้ากับบุคคล สถานที่ และเวลา อย่างถูกต้องถือว่ามีมารยาททางสังคมที่ดี เช่น การรู้จักกราบไหว้ที่ถูกวิธี และถูกกาลเทศะ การรู้จักธรรมเนียมของชาวต่างชาติ การปฏิบัติตนในงานเลี้ยงต่างๆการไปเยี่ยมคนป่วยการมอบดอกไม้แสดงความยินดีหรือให้ผู้อาวุโส เป็นต้น
·     บางครั้งเราอาจจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ และอาจเกิดอะไรขึ้นกับเราได้ทุกวินาทีนั้น เราต้องพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในลักษณะที่พร้อม คือไม่ตกใจ ดีใจ เสียใจ กลัว เกินกว่าเหตุ สามารถควบคุมท่าทางของตนเองได้เป็นอย่างดี

แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพ
·     การรักษาสุขภาพอนามัย
·     การดูแลร่างกาย
·     การแต่งกาย
·     อารมณ์
·     ความเชื่อมั่นในตัวเอง

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิด
        ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดในด้านดี ไม่มองคนในแง่ร้ายจิตใจก็เป็นสุข ไม่มีความกังวล ดังนั้นจึงควรพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิดดังนี้
        1.  มีความเชื่อมั่นในตนเองในการกระทำในสิ่งต่าง ๆ
        2.  มีความซื่อสัตย์ กระทำตนให้ผู้อื่นเชื่อถือเรา แล้วความไว้วางใจจะตามมา มีเรื่องสำคัญเขาก็จะให้เราทำ
        3.  มีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านั้น ให้เหมาะสมกับผู้ที่มอบหมายไว้วางใจให้เราทำ
        4.  มีความกระตือรือร้น ที่อยากจะทำ เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
        5.  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักปรับปรุงงานอยู่เสมอ
        6.  มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องมีความห่วงใยจะต้องทำให้เสร็จทันตามกำหนดเวลา
        7.  มีความรอบรู้                    
        8.  ห่วงตัวเอง เติมชีวิตให้กับตัวเอง
        9.  มีความจำแม่น                 
        10. วางตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านกายบริหารทรวดทรง
        องค์ประกอบของทรวดทรง ขึ้นอยู่กับกลไกของการเคลื่อนไหวของร่างกายและโครงสร้างของร่างกายไม่ว่าหญิงหรือชายก็ชอบที่จะมีรูปร่างงามทั้งนั้น ผู้ชายก็ต้องการมีรูปร่างสมาร์ท ผู้หญิงก็ต้องการมีเอวบาง ร่างน้อย มีสุขภาพดี การมีรูปร่างงาม สุขภาพดี เกิดจากการพัฒนาตัวเราเอง เราเป็นผู้วางแผนในชีวิตของเราเอง
        ทรวดทรงอาจไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แต่ส่วนสัดและท่าทาง ทำให้คนทุกคนดูแตกต่างกันไป บุคลิกที่ไม่ดีแสดงว่าเจ้าของเรือนร่างขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าได้เรียนรู้วิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับบุคลิกภาพของตนเองแล้ว จะไม่เพียงทำให้มีรูปร่างสง่างามเท่านั้น ยังสามารถทำให้การปฏิบัติงานเกิดความเชื่อมั่น  งานก็มีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใช้เวลาในการบริหารทรวดทรงของตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพที่ดี และทรวดทรงที่งดงามอีกด้วย

การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน
·     การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง 
·     การปรับปรุงในส่วนที่จะปรับปรุงได้ 
·     การใช้สิ่งอื่นๆ เพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพ 
        การส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีควรส่งเสริมคุณภาพจิตสาธารณะมากำกับ เพื่อบุคคลจะได้ลดละความเห็นแก่ตนในระดับที่พอดำรงชีวิตอยู่ได้ เสียสละ เกื้อกูลคนอื่น เป็นผู้รับในบางโอกาสและเป็นผู้ให้ในบางโอกาส มีจิตใจที่ดีงาม มีร่างกายที่สะอาดสดใสก็เท่ากับว่าบุคคลได้ส่งเสริมหรือพัฒนาบุคลิกภาพแล้วนั่นเอง

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านการเรียนรู้
        ในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นครูจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ให้ตรงกับตนเองอยู่เสมอ เช่น
        1. การฟัง
        2. การอ่าน
        3. การเขียน
        4. การสังเกต
        5. การคิด
        6. การทดลอง

Vocabulary (คำศัพท์)
Acceptance - ยอมรับ
Development - พัฒนา
Change - เปลี่ยนแปลง
Personality - บุคลิกภาพ
Always - สม่ำเสมอ

Applied (การประยุกต์ใช้)
  เข้าใจถึงความหมายของบุคลิกภาพได้เรียนรู้วิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับบุคลิกภาพของตนเอง การรู้จักทำตัวให้เข้ากับบุคคล สถานที่ และเวลา อย่างถูกต้องถือว่ามีมารยาททางสังคมที่ดี เช่น การรู้จักกราบไหว้ที่ถูกวิธี และถูกกาลเทศะ        

Evaluation (การประเมิน)
Self (ประเมินตนเอง)
        เข้าเรียนตรงเวลาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย และตั้งใจเรียน จดบันทึกที่อาจารย์พูดเพิ่มเติมให้จากเอกสารประกอบการเรียนการสอน
Friends (ประเมินเพื่อน)
        เพื่อนที่เป็นผู้นำเสนอคำคมทางวิชาการ เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีและยอมรับฟังคำเสนอแนะจากอาจารย์และเพื่อนภายในห้อง ในการเรียนเพื่อนๆก็ตั้งใจฟังเนื้อหาในการเรียนการสอน
Teacher (อาจารย์)
        อาจารย์แต่งกายสุภาพเรียบร้อย มีความตั้งใจในการสอนคอยแนะนำสำหรับเนื้อหาเพิ่มเติม และได้รับประโยชน์ จากเรื่อที่ยกตัวอย่างให้ฟัง ได้เทคนิคใหม่ๆ ทำให้นักศึกษาได้รับความรู้มากยิ่งขึ้น

Photo Gallery (ประมวลภาพกิจกรรม)







วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2561


บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 9
วันจันทร์ ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561
เวลา 08.30 - 11.30 น. 

      สอบกลางภาควิชาการบริหารสถานศึกษาปฐมวัย      






บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 8
วันจันทร์ ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561
เวลา 08.30 - 11.30 น.

Knowledge (ความรู้)
นำเสนอคำคมทางการบริหาร




นำเสนอวิจัย (กลุ่ม)
งานวิจัยเรื่อง การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา ในจังหวัดนครสวรรค์
การศึกษา ระดับปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ผู้วิจัย พระสกล ฐานธมฺโม (อินทร์คล้าย)       ปีการศึกษา ๒๕๕๖
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
        ๑ เพื่อศึกษากระบวนการ การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์
        ๒ เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูและผู้บริหารต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์โดยจําแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล
        ๓ เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์
งานวิจัยนี้นำแนวคิดทฤษฏีทางการบริหารใดมาใช้
·     เทเลอร์ (Frederick W Taylor) บิดาแห่งการบริหารหลักเกณฑ์การบริหารซึ่งมีพื้นฐานอยู่ในหลักการ (Principles) ที่สําคัญ ๔ ประการ
·     ทฤษฎีการบริหารของเฮนรีฟาโย หน้าที่ทาง การบริหาร ๕ ประการ
·     วิลเลียม โอชิ(William Ouchi) ทฤษฎีZ
·     ลูเธอร์ กูลิค (Luther Gulick) POSDCORB Model
·     ฟาโย (Fayol) หลักการในการบริหารจัดการขึ้น ๑๔ ประการ
สรุปผลการวิจัย
        ๑ ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรร มาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์
        จากผลการวิจัย พบว่า ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนต่อการบริหารสถานศึกษา ตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากทุก ด้าน อันเนื่องมาจากผู้บริหารและครูผู้สอนมีความเข้าใจในหลักธรรมาภิบาล ในการบริหารงานและ การทํางานในหน่วยงาน
        ๒. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อการ บริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผูบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์จําแนก ตามปัจจัยส่วนบุคคล ด้าน เพศ, อายุ, ระดับการศึกษา, ตําแหน่ง, และระยะเวลาในการดํารงตําแหน่ง
        พบว่า ผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีเพศ, อายุ, ตําแหน่งปัจจุบัน และระยะเวลาในการดํารงตําแหน่งต่างกัน มีความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร สถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน

งานวิจัยเรื่อง รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
การศึกษาระดับ ปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต (การบริหารการศึกษา)
มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผู้วิจัย นายธีระวัฒน์ มอนไธสง       ปีการศึกษา พ.ศ. 2557
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
        1. เพื่อศึกษาองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
        2. เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
        3. เพื่อตรวจสอบรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
แนวคิดทฤษฏีทางการบริหาร
แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผล
·     Robbins (1999) เสนอว่าวิธีวัดประสิทธิผลขององค์การมีอยู่สี่วิธีด้วยกัน คือ 1) วัดจากความสามารถขององค์การในการบรรลุเป้าหมาย 2) วัดโดยอาศัยความคิดระบบ 3) วัดจากความสามารถขององค์การในการชนะใจผู้มีอิทธิผล และ4) วัดจากค่านิยมที่แตกต่างกันของสมาชิกองค์การ
·     Edmonds (1979) ได้เสนอแนวคิดที่นำไปสู่ความเป็นโรงเรียนที่มีประสิทธิผลด้วยปัจจัย 5 ประการ คือ 1. ภาวะผู้นำที่แข็งแกร่งของผู้บริหาร 2. ความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านทักษะพื้นฐาน 3. สภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่สะอาดเรียบร้อยและปลอดภัย 4. ความคาดหวังของครูที่มีต่อนักเรียนในระดับสูง 5. การเฝ้าติดตามประเมินความก้าวหน้าของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง
·     Pierce (1991) ได้วิเคราะห์ลักษณะการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผล ในปี ค.ศ. 1991พบว่ามีลักษณะ ดังนี้1. การให้ความเคารพกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม 2. การพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่เน้นการสร้างครูที่ช่วยเหลือนักเรียนที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม 3. หลักสูตรที่เน้นการ  บูรณาการและพัฒนาได้มากกว่าทักษะพื้นฐาน 4. การส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความร่วมมือในการวางแผนกับครู 5. การมีส่วนร่วมในการดูแลนักเรียนระหว่างครูและผู้ปกครอง
สรุปผลการวิจัย
        จากผลการวิจัยสรุปได้ว่า รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนมีสองรูปแบบ คือ รูปแบบมุ่งเน้นการนิเทศ กับรูปแบบมุ่งเน้นเป้าหมาย สถานศึกษาสามารถที่จะนำไปใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น สถานศึกษาต้องยึดหลักการกระจายอำนาจในการตัดสินใจโดยมุ่งไปที่การตัดสินใจร่วมกันในการบริหารจัดการศึกษาของโรงเรียน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน และชุมชน จึงทำให้รูปแบบการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผลเป็นรูปแบบที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

งานวิจัยเรื่อง การบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา อำเภอ เลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
การศึกษาระดับ ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ผู้วิจัย พระสุธิศักดิ์ สุภกิจฺโจ (เขียวหวาน)      ปีการศึกษา 2554
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
        ๑.๒.๑ เพื่อศึกษาการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
        ๑.๒.๒ เพื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
        ๑.๒.๓ เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
·     สมยศ นาวีการ ได้กล่าวถึงแนวคิดการบริหารไว้ว่า การบริหารงานไม่ว่าจะเป็นรูปแบบผู้นำโครงสร้างระบบราชการและหน้าที่ของผู้บริหารในองค์การแห่งหนึ่งสามารถนำมาประยุกต์ไปใช้กับองค์การ เรียกว่า วิธีดีที่สุด (One Best Way) อย่างไรก็ตามผู้บริหารในแต่ละองค์การจะเผชิญกับสถานการณ์เฉพาะที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่มีหลักสากลใดที่สามารถใช้ได้กับทุกปัญหาผู้บริหารต้องศึกษาการบริหาร โดยมีประสบการณ์จากกรณีศึกษา (Case Study) จำนวนมากและวิเคราะห์ว่าวิธีการใดที่สามารถใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆ
สรุปผลการวิจัย
การศึกษาเรื่องการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี สรุปได้ดังนี้
        ๕.๑.๑ ข้อมูลทั่วไปของครูผู้ตอบแบบสอบถามครูผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนทั้งสิ้น ๑๖๐ คน ส่วนใหญ่เป็นหญิง จำนวน ๙๗ คนคิดเป็นร้อยละ ๖๐.๖ เป็นชาย จำนวน ๖๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๔
        ๕.๑.๒ ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก
ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าครูมีความเห็นอยู่ในระดับมากทุกข้อ

งานวิจัยเรื่อง รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มี ประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี
การศึกษาระดับ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ผู้วิจัย นางเรขา ศรีวิชัย     ปีการศึกษา 2554
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
        1.ศึกษาสภาพการบริหารงานของสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลใน จังหวัดนนทบุรี
        2. เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานของสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล ในจังหวัดนนทบุรี
แนวคิดทฤษฏีทางการบริหาร
·     แนวคิดและทฤษฎีระบบโรงเรียนในฐานะระบบสังคมของ Hoy &Miskel
·     แนวคิดและทฤษฎีการบริหารโรงเรียนเชิงระบบของ Lunenburg & Ornstein
สรุปผลการวิจัย
        1.รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษา  เอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล ประกอบด้วย
            ปัจจัยนำเข้าที่มีองค์ประกอบย่อย คือ สภาพแวดล้อมของสถานศึกษาการตอบสนองความต้องการของชุมชนและแหล่งเรียนรู้ในชุมชน นโยบายของรัฐบาล นโยบายของคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้เรียน ผู้บริหารและครู จรรยาบรรณวิชาชีพ ของครู จรรยาบรรณวิชาชีพ ของผู้บริหาร และ งบประมาณ
            ปัจจัยด้านกระบวนการนั้น ประกอบด้วย การบริหารจัดการหลักสูตรการเรียน การสอน และการวัดและประเมินผลด้านผลผลิต คือผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน และความพึงพอใจ ของผู้ปกครองนักเรียน
        2.จากการประเมินรูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล ในจังหวัดนนทบุรี พบว่ารูปแบบนี้มีประโยชน์มีความสอดคล้องและความเป็นไปได้  ส่วนความเหมาะสมจำเป็นต้องพัฒนาจากขนาดของสถานศึกษารวมทั้งสถานศึกษาจะต้องแสดงความเป็น เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ในการบริหารจัดการให้ชัดเจนด้วย

งานวิจัยเรื่อง การบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
การศึกษาระดับ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผู้วิจัย นางสาว ยุกตนันท์ หวานฉ่ำ ปีการศึกษา 2555
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
        1. เพื่อศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษาของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
        2. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
        3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
สรุปผลการวิจัย
        จากผลการวิจัยพบว่าการบริหารสถานศึกษาในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานีเขต 1 ด้านการบริหารงบประมาณ มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในอันดับสุดท้ายของทุกด้าน ดังนั้น ทางสถานศึกษาต้องมีการศึกษา วิเคราะห์การจัดและการพัฒนาการศึกษาในการจัดสรรงบประมาณของสถานศึกษาตามกรอบทิศทางของเขตพื้นที่การศึกษาและตามความต้องการของสถานศึกษา ซึ่งบุคลากรทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการวางแผนกลยุทธ์มีการกำหนดแผนพัฒนาทั้งระยะสั้นและระยะยาวรวมถึงมีการจัดทำข้อมูลทรัพยากรเพื่อการศึกษา การจัดหาเงินงบประมาณ และการระดมทุนเพื่อพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษา โดยมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษา มีการจัดระบบสวัสดิการมีการจัดทำระบบฐานข้อมูลสินทรัพย์ในการจัดหารายได้และผลประโยชน์ของสถานศึกษา รวมทั้งมีการตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลและรายงานผลการใช้งบประมาณของสถานศึกษาให้ได้ทราบโดยทั่วกันจากผลการวิจัยพบว่าประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลอวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานีเขต 1 พบว่าความใฝ่รู้รักการอ่าน แสวงหาความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในอันดับ สุดท้ายของทุกด้าน ดังนั้นทางสถานศึกษาควรส่งเสริมให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้า และสืบค้นข้อมูลด้วยตนเอง ฝึกให้นักเรียนมีความรับผิดชอบและมีความกระตือรือร้นในการทำงานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ

งานวิจัย เรื่อง การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่
การศึกษาระดับ  ประถมศึกษา 
มหาวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
ผู้วิจัย ลดารัตน์  ศศิธร      ปีการศึกษา 2558
วัตถุประสงค์ของการวิจัย 
        1.ศึกษาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ตามความคิดเห็นของผู้บริหารการศึกษา ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
        2.เปรียบเทียบการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ตามความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำแนกตาม ตำแหน่ง ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในสถานศึกษาและลักษณะของโรงเรียน
        3.ศึกษาความพึงพอใจ การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ตามความคิดเห็นของ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองนักเรียน และนักเรียน
        4.รวบรวมปัญหาและข้อเสนอแนะ ในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองนักเรียน และนักเรียน
งานวิจัยนี้นำแนวคิดทฤษฏีทางการบริหารใดมาใช้
·     ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ Scott (1997)
·     ทฤษฎีแรงจูงใจ Herzberg (1959) ศึกษาถึงสาเหตุจูงใจให้คนทำงาน โดยมี 2 ปัจจัย ที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจในการทำงาน คือ 1.ปัจจัยค้ำจุน (Hygiene Factors) 2.ปัจจัยกระตุ้น (Motivation Factors)
·     ทฤษฎีลำดับขั้นตอนของความต้องการ Maslow (1970)
สรุปผลการวิจัย
        ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยการจัดการเรียนร่วมในภาพรวมและหลายด้านอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณารายข้อในด้านการบริหารจัดการทั่วไป พบว่าผู้บริหารจัดการศึกษาครูผู้สอน  และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความคิดเห็นว่าในการบริหารจัดการเรียนร่วมได้มีการดำเนินงานเรื่องการเดินทางไปเรียนร่วมกับนักเรียนและสามารถดำเนินการได้ตามแนวปฏิบัติและครอบคลุมนักเรียนทุกคนอย่างสูงสุดเท่ากัน       

Vocabulary (คำศัพท์)
Research - วิจัย
Theory - ทฤษฎี
Position - ตำแหน่ง
Budget - งบประมาณ
Satisfaction - ความพึงพอใจ

Applied (การประยุกต์ใช้)
        จากการนำเสนอวิจัยในครั้งนี้ได้รับความรู้จากในวิจัยและข้อเสนอแนะจากอาจารย์ทั้งของกลุ่มตนเองและกลุ่มเพื่อนๆอีก 5 กลุ่ม ได้ความรู้ในการทำวิจัยเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษา และได้เห็นเค้าโครงวิจัยที่สมบูรณ์

Evaluation (การประเมิน)
Self (ประเมินตนเอง)
        เข้าเรียนตรงเวลา เตรียมพร้อมในการนำเสนองานวิจัย และตั้งใจฟังเพื่อนกลุ่มอื่นนำเสนองานวิจัย มีการถามคำถามเกี่ยวกับงานวิจัยภายในห้องเรียน
Friends (ประเมินเพื่อน)
        เพื่อนเตรียมงานนำเสนอวิจัยมาเป็นอย่างดี นำเสนอได้น่าสนใจ แต่งกายเรียบร้อย มาเรียนตรงเวลา
Teacher (อาจารย์)
        อาจารย์แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ค่อยแนะนำและอธิบายเพิ่มเติมหลังจากนักศึกษาแต่ละกลุ่มนำเสนอจบ ทำให้นักศึกษาเกิดความเข้าใจมากขึ้น

Photo Gallery (ประมวลภาพกิจกรรม)